The Super League เมื่อทีมใหญ่จุดไฟเผาตัวเอง

ข่าวใหญ่ช็อคโลกวงการฟุตบอลวันนี้ เมื่อ 12 ทีมยักษ์ใหญ่ยุโรปประกาศจัดตั้ง The Super League ลีกที่รวมทีมใหญ่มาเตะกันแบบกึ่งลีกในช่วงกลางสัปดาห์ ทดแทนรายการ UEFA Champions League

12 ทีมที่เป็น Founding Members ได้แก่ Man United, Man City, Liverpool, Arsenal, Chelsea, Spurs, Real Madrid, Barcelona, Atletico Madrid, AC Milan, Inter Milan, และ Juventus

โดยทาง The Super League แพลนที่จะตั้งลีกให้ครบ 20 ทีม โดยเพิ่มทีมถาวรอีก 3 ทีมเป็น 15 ทีม และอีก 5 ทีมเป็นทีมที่จะผ่านการคัดเลือก (ยังไม่มีรายละเอียด) เข้ามาแข่ง รวมแล้วเป็น 20 ทีม

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ 12 ทีม Founding Members มาจากแค่ 3 ชาติ คือ อังกฤษ, สเปน, และอิตาลี แถมทีมจากอังกฤษส่วนใหญ่ก็มีเจ้าของเป็นคนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน อย่างที่พอจะทราบกันว่า Mindset ของเจ้าของทีมอเมริกันนั้นมองทีมกีฬาเป็น ‘Franchise’ หรือทีมที่สร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินมากกว่า ‘Club’ หรือสโมสรสำหรับแฟนบอล

เราเลยเห็นทีมกีฬาอเมริกัน โยกย้ายเมืองไปมาได้ ชนิดที่ว่าไม่สนใจแฟนๆของทีมนั้นๆเลย อาทิ St Louis Rams โยกจากเซนต์หลุยส์ไปแอลเอ, Seattle SuperSonics ย้ายไปเป็น Oklahoma City Thunder สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในโลกฟุตบอล อย่างที่ MK Dons เคยทำไว้กับ Wimbledon FC จนถึงตอนนี้มีแต่คนชื่นชมการเกิดใหม่ของ AFC Wimbledon มากกว่าการมีอยู่ของ MK Dons เสียอีก

การจัดตั้ง The Super League จึงมองได้อย่างเดียวว่า เกิดมาเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินเป็นหลักเพียงเท่านั้น ทางผู้จัดหวังว่าทีมใหญ่ๆมาเตะกันเองจะเรียกแฟนบอลให้มานั่งหน้าจอได้มากขึ้น เม็ดเงินในการถ่ายทอดสดจะมากมายมหาศาล แต่ช้าก่อน ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า ไม่มีทีมจากเยอรมันแม้แต่ทีมเดียวที่เข้าร่วม แม้กระทั่งบาเยิร์น มิวนิค หรือโบรุสเซีย ดอร์ทมุนต์ และผมก็ค่อนข้างจะเชื่อว่าสองทีมนี้จะไม่เข้าร่วมสังฆกรรมใน The Super League ด้วยแน่นอน

อย่างที่รู้กันว่าสโมสรในเยอรมันนั้น แฟนบอลของทีมมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทีมด้วยตามกฏ 50+1 ทีมที่ตั้งขึ้นมาด้วยการใช้อำนาจทางการเงินเป็นหลักอย่าง RB Leipzig จึงเป็นที่รังเกียจจากแฟนบอลทีมอื่นๆในประเทศ หนำซ้ำตั๋วฟุตบอลบุนเดสลีกาก็ถือว่าถูกกว่าลีกใหญ่อื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะสโมสรต้องการให้แฟนบอลทุกระดับเข้าถึงเกมฟุตบอลระดับท็อปได้ ดังนั้นการจะใช้ผลประโยชน์ทางการเงินนำหน้า ‘วิถีทางของฟุตบอล’ จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับแฟนบอลในเยอรมัน

และผมไม่คิดว่าแนวคิดนี้จะแตกต่างกับความคิดของแฟนบอลทีมอื่นๆทั่วโลก แม้กระทั่งแฟนบอลของ 12 ทีม Founding Members เองก็ตาม เท่าที่ตามดูความเห็นของแฟนบอลส่วนใหญ่ มีแต่เสียงก่นด่าทีมตัวเองทั้งนั้น และยังพร้อมที่จะแบน ไม่เข้าดูทีมตัวเองลงแข่งใน The Super League ด้วยซ้ำ

แนวคิดหลักของ The Super League ที่แฟนบอลไม่เอาก็คือ ทีมใหญ่จะทำตัวประหนึ่งเป็นทีม Franchise ในระบบลีกแบบอเมริกัน คือ ไม่มีทีมตกชั้น ซึ่งในกรณี The Super League นี้คือ มีทีมวางเป็นทีมใหญ่ที่จะได้เล่นรายการนี้ทุกปี ต่อให้ผลงานเฮงซวยยังไงก็ตาม ซึ่งมันขัดกับระบบฟุตบอลลีกที่ทุกประเทศในยุโรปวางกันมาเป็นร้อยๆปี ทีมไหนผลงานดี คุณก็ได้แชมป์ ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป ทีมไหนผลงานแย่ ก็ตกชั้นกันไป ตามครรลองของฟุตบอล ไม่มีอภิสิทธิ์ชนในระบบของฟุตบอล และนั่นคือเสน่ห์ของกีฬานี้ การได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปคือเป้าหมายของหลายๆทีม การจะได้ไปเตะ Champions League เจอกับทีมอย่าง Real Madrid Barcelona คือความฝันของแฟนบอล แต่ The Super League กำลังจะมาทำลายมนต์เสน่ห์ตรงนี้ไปอย่างไรเยื่อใย

สโมสรที่เข้าร่วมแข่ง เดอะ ซุปเปอร์ลีก อย่าคิดว่าแฟนฟุตบอลจะเหมือนกับแฟนกีฬาอเมริกันนะครับ วัฒนธรรมมันต่างกันฟ้ากับเหว อย่าคิดว่าทีมใหญ่มารวมตัวกัน คนดูจะมหาศาล คุณขายได้แต่กับแฟนบอลหน้าจอบางส่วนเท่านั้นแหละ แต่ถ้าแฟนบอลทีมจริงๆพร้อมใจกันแบนแล้วล่ะก็ สภาพการถ่ายทอดสดทีมคนดูโหรงเหรง การประท้วงต่างๆ มันมีแต่จะสร้างภาพลักษณ์ในเชิงลบออกมา และลดมูลค่าของการแข่งขันลงเรื่อยๆก็เท่านั้น

ในความเห็นของผม จุดจบของเรื่องนี้ของทีมที่เข้าร่วมสังฆกรรม The Super League ไม่สวยแน่นอน ฟุตบอลอยู่ได้ด้วยแฟนบอล ถ้าแฟนบอลของทีมตัวเองไม่สนใจ แฟนบอลทั่วโลกไม่สนใจ สื่อต่างๆก็จะไม่สนใจ เม็ดเงินการต่อรองในการถ่ายทอดสดก็จะลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้าย โปรเจ็คนี้จะยุบตัวลงไปเอง แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่หายไปคือ เสียงสาปส่งของแฟนบอลต่อทีมที่เข้าร่วม ‘มหกรรมความน่าขายหน้า’ ครั้งนี้

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*